ลักษณะเด่นของธุรกิจ B2B คือ การติดต่อซื้อขายสินค้าและบริการซึ่งจะเกิดขึ้นระหว่างธุรกิจด้วยกันตั้งแต่ 2 ธุรกิจขึ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์ของการซื้อสินค้าและบริการ เพื่อนำไปใช้ในการทำธุรกิจของตัวเอง การซื้อขายระหว่างคู่ธุรกิจทั้งสองฝ่าย จะมีการทำเป็นเอกสารซื้อขายล่วงหน้า โดยราคาขายของธุรกิจ B2B มักมีราคาที่ต่ำกว่าการขายสินค้าและบริการให้แก่ผู้บริโภคทั่วไปในตลาด แต่ก็จะมีปริมาณในการซื้อต่อครั้งที่มากกว่า
ลักษณะเด่นของธุรกิจ B2C
ราคาเดียวไม่ต้องต่อรอง – หากเทียบกับธุรกิจที่ขายให้กับธุรกิจด้วยการหรือขายให้กับภาครัฐ เราก็คงเห็นว่าผู้บริโภคส่วนมากไม่ค่อยต่อราคาเวลาซื้อของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาซื้อของไม่กี่ชิ้นหรือของราคาถูก เช่น ผู้บริโภคมักไม่มีการไปต่อราคาน้ำเปล่าในเซเว่น
กระบวนการตัดสินใจที่สั้น – เวลาที่ใช้ในการตัดสินใจส่วนมากจะขึ้นอยู่กับชนิดสินค้าและราคาของสินค้า โดยรวมแล้วหากเป็นของราคาถูกก็คงตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า
มีลูกค้าหลายคนมากๆ – เวลาที่ร้านค้าขายของให้กับกลุ่มผู้บริโภค ส่วนมากก็จะเป็นการซื้อจำนวนน้อยทีละไม่กี่ชิ้น โดยรวมแล้วธุรกิจเหล่านี้ต้องขายของให้กับลูกค้าให้ได้หลายคน เพื่อให้จำนวนของการสั่งซื้อโดยรวมมีเยอะมากขึ้น เพื่อให้เกิดกำไรและเงินหมุนเวียนในธุรกิจ
สามารถสังเกตผู้บริโภคได้ง่าย – ธุรกิจแนวนี้เป็นธุรกิจที่อยู่ใกล้ผู้บริโภคมากที่สุด เพราะว่าแต่ละวันก็ต้องมีการขายของและการพูดคุยกับผู้บริโภคเรื่อย ๆ โดยรวมแล้วธุรกิจแบบนี้จะปรับตัวได้เร็ว เรียกได้อีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นธุรกิจปลายน้ำ
ความแตกต่างของ B2B และ B2C มีข้อแตกต่างของธุรกิจทั้งสองรูปแบบ ดังนี้
1.การติดต่อซื้อขายสินค้า และบริการของธุรกิจแบบ B2C เกิดขึ้นระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค ในขณะที่ B2B เกิดขึ้นระหว่างธุรกิจกับธุรกิจด้วยกัน
2.วัตถุประสงค์ของการซื้อสินค้าและบริการแบบธุรกิจ B2C คือเพื่อนำไปใช้ในการอุปโภคบริโภค แต่ไม่ได้เป็นการซื้อเพื่อนำไปขายต่อ หรือเพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจของตนเอง
3.ผู้ขายกับผู้บริโภคหรือ End Users จะมีความใกล้ชิดกัน สามารถรับทราบความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากการทำ ธุรกิจแบบ B2C สามารถสื่อสารกันได้โดยตรงง่ายกว่าธุรกิจแบบ B2B โดยราคาขายของธุรกิจ B2C มักมีราคาที่สูงกว่า เนื่องจากมีปริมาณในการซื้อต่อครั้งที่น้อยกว่าการขายในลักษณะขายส่งแบบธุรกิจในรูปแบบ B2B
ที่มา : www.moneywecan.com , ไทยวินเนอร์