ทุกวันนี้ เราจะต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมีหลายชนิด ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน ยิ่งนับวันก็จะมีสารเคมีในชีวิตประจำวันใหม่ๆเกิดขึ้น สารเคมีที่เราพบเจอกันในชีวิตประจำวันนั้นสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มง่ายๆ คือสารเคมีดำรงชีวิต และ สารเคมีกับสิ่งแวดล้อม
สารเคมีดำรงชีวิต
เราสามารถแบ่งสารเคมีดำรงชีวิตออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1. สารเคมีประกอบอาหาร 2. สารเคมีทำความสะอาด 3. สารเคมีเครื่องสำอาง และ 4. สารเคมีเพื่อสุขภาพ
1. สารเคมีประกอบอาหาร
1.1. ผงชูรส
1.2. น้ำส้มสายชู
1.3. สารกันเสีย หรือ สารกันบูด
1.4. สารกันหืน
1.5. เกลือ
1.6. น้ำตาล
2. สารเคมีทำความสะอาด
2.1. สบู่
2.2 แชมพู
2.3. ผงซักฟองสังเคราะห์
3. สารเคมีเครื่องสำอาง
สารเคมีเครื่องสําอางเป็นสารเคมีในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ซึ่งใช้สัมผัสกับร่างกายเฉพาะภายนอก ได้แก่เส้นผม เล็บ ผิวหนัง ช่องปาก ฟัน และภายนอกอวัยวะเพศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ความสะอาด กลิ่นหอม ปกป้องหรือส่งเสริมให้สวยงามและดูดี สารเคมีเครื่องสําอางสามารถแบ่งออกเพื่อความเข้าใจโดยง่าย ได้ 3 ประเภทได้แก่1. สารเคมีในเครื่องสําอางประเภทบํารุงรักษา 2. สารเคมีในเครื่องสําอางประเภทเสริมแต่งและ3. สารเคมีที่ให้ผลเฉพาะ
3.1. สารเคมีในเครื่องสําอางประเภทบํารุงรักษา
3.2. สารเคมีในเครื่องสําอางประเภทเสริมแต่ง
3.3. สารเคมีที่ให้ผลเฉพาะ
4. สารเคมีเพื่อสุขภาพ
เป็นกลุ่มสารเคมีที่ผลิตขึ้นโดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ บำรุงรักษา ดูแล และเสริมสร้างสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค
4.1. ยารักษาโรค
4.1.1. ยาที่ได้จากสารธรรมชาติ
4.1.2. ยาที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี
4.2. อาหารเสริม
4.2.1. อาหารเสริมสุขภาพจากพืช: เช่น น้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส สาหร่ายคอเรลลา เห็ดหลินจือ
4.2.2. อาหารเสริมสุขภาพจากสัตว์: เช่น น้ำผิ้ง น้ำมันตับปลา รังนก
4.3. สมุนไพร
หมายถึง สารที่ได้จากพืชในธรรมชาติที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพ เช่น พืชก็ยังคงเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอกผล สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคและบำรุงร่างกายได้
ที่มา:
http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_knowledge/Bio_11_2559_antioxidant.pdf
จากที่สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าได้นำเสนอข่าวเปิดผลตรวจ 10 ผักยอดนิยมของคนไทย พบ “กะเพรา” มีสารเคมีตกค้างมากสุด เตรียมใช้ กม.ผู้บริโภค เอาผิดผู้ประกอบการ
วันที่ 27 มีนาคม 2558 นักวิจัยเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN เสนอให้มีการทบทวนวิธีการล้างผัก ชี้การล้างโดยใช้น้ำส้มสายชูมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ด่างทับทิมและเบคกิ้งโซดา เตือนวิธีการล้างทุกวิธีมีข้อจำกัด ล้างสารที่ตกค้างมากได้ไม่ถึงครึ่ง ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไปพร้อมกัน
ที่ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช มูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้จัดประชุมวิชาการสารเคมีกำจัดศัตรูพืชประจำปี 2558 โดยในวันที่ 27 มีนาคม 2558 ซึ่งเป็นวันที่สองของการประชุม ได้มีการจัดการแถลงข่าวเกี่ยวความรู้เรื่องการล้างผัก โดยนางสาวอังคณา ราชนิยม ได้เปิดเผยผลการศึกษาซึ่งรวบรวมงานศึกษาเกี่ยวกับการล้างจากต่างประเทศและประเทศไทยมาสังเคราะห์ โดยเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ว่ามีสารพิษชนิดใดตกค้างในผักและผลไม้มากที่สุดของประเทศไทยบ้าง พบว่า สารที่พบการตกค้างมากที่สุด 6 อันดับแรกได้แก่ ไซเปอร์เมทริน(Cypermethrin) คลอไพรีฟอส (Chlorpyrifos) โปรฟีโนฟอส (Profenofos) โอเมโธเอท (Omethoate) คาร์โบฟูราน (Carbofuran) และเมโทมิล (Methomyl)
นางสาวอังคณาสรุปผลจากการศึกษาพบว่า ประสิทธิภาพในการล้างผักและผลไม้สำหรับลดสารกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างบ่อยในประเทศไทย เรียงตามลำดับประสิทธิภาพในการล้าง มีดังต่อไปนี้
1) การล้างด้วยน้ำส้มสายชู เป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะลดสารที่ตกค้างมากที่สุดได้ 48% สารลำดับที่สองได้ 87% และสารลำดับที่สามได้ 32-85%
2) การล้างด้วยด่างทับทิมและโซเดียมไบคาร์บอเนตได้ผลใกล้เคียงกันมากโดยด่างทับทิมลดสารตกค้างมากที่สุดได้ 20% สารตกค้างอันดับสองได้ 87% และลดสารตกค้างอันดับที่สามได้ 18-83% การล้างด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนตลดสารที่ตกค้างมากที่สุดได้เพียง 8% ลำดับสองได้ 87% ลำดับสามได้ 42 %
4) การล้างด้วยน้ำสะอาดและน้ำเกลือให้ผลใกล้เคียงกัน โดยการล้างด้วยน้ำในสารไซเปอร์เมทริน ทำได้ดีกว่าน้ำเกลือเล็กน้อย ขณะที่ในสารลำดับที่สองนั้นการล้างด้วยน้ำเกลือให้ผลดีกว่าเล็กน้อย ส่วนสารอื่นๆ ที่เหลือให้ผลใกล้เคียงกัน
โดยเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้ให้คำแนะนำในการล้างผักผลไม้สำหรับประชาชนที่สามารถลดสารเคมีให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ มี 3 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1.ล้างด้วยน้ำไหลเพื่อขจัดคราบของดิน สิ่งสกปรก แบคทีเรีย และเชื้อต่างๆ ตลอดจนสารพิษบางส่วน
2.แช่ผักและผลไม้ในน้ำส้มสายชู นาน 10-15 นาที ถ้าไม่มีน้ำส้มสายชูก็อาจใช้น้ำด่างทับทิมหรือโซเดียมไบคาร์บอเนตอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ประสิทธิภาพจะน้อยกว่าการใช้น้ำส้มสายชู
3.ล้างด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำไหลเพื่อชะล้างน้ำส้มสายชู และสารเคมีบางส่วนออก
จากผลการศึกษาพบว่า การล้างในทุกวิธียังมีการตกค้างของสารเคมีที่พบบ่อยมากที่สุดในอันดับแรกคือไซเปอร์เมทรินสูงค่อนข้างมาก โดยวิธีการล้างที่ดีที่สุดยังสามารถลดการตกค้างได้ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนคำแนะนำของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งแนะนำว่าการใช้โซเดียมไบคาร์บอเนตหรือเบคกิ้งโซดาจะสามารถลดการตกค้างได้ 90-95 เปอร์เซ็นต์แล้วแต่ชนิดผักนั้น ไม่สอดคล้องกับรายงานนี้
“การล้างเป็นเพียงวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของผู้บริโภคเท่านั้น วิธีการที่ดีที่สุดเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค นอกเหนือจากการเลือกซื้อผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์ คือ การยกเลิกสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างบ่อย และมีพิษทั้งเฉียบพลันสูง เช่น คาร์โบฟูราน เมโทมิล และมีพิษภัยเรื้อรัง เช่น คลอไพรีฟอส เป็นต้น โดยนอกเหนือจากประกาศยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีอันตรายร้ายแรงแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดไปพร้อมๆ กันด้วย” นางสาวอังคณากล่าว
ที่มา: https://thaipublica.org/2015/03/toxic-food-crisis-12/